This website uses cookies.
We use cookies to enhance your browsing experience, serve personalised ads or content, and analyse our traffic. By clicking "Accept All", you consent to our use of cookies.
We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.
The cookies that are categorised as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ...
Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.
No cookies to display.
Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.
No cookies to display.
Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.
No cookies to display.
Performance cookies are used to understand and analyse the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.
No cookies to display.
Advertisement cookies are used to provide visitors with customised advertisements based on the pages you visited previously and to analyse the effectiveness of the ad campaigns.
No cookies to display.
สืบเนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นวาระระดับโลกให้ทุกภาคส่วนพยายามหาวิธีที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มีอยู่ในบรรยากาศ ควบคู่ไปกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ลง โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ก่อนก้าวเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ที่มีความท้าทายมากกว่าในขั้นต่อไป โดยที่ไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการคมนาคมทางอากาศ
ซึ่งจากการศึกษาเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของยานพาหนะประเภทต่าง ๆ พบว่า อากาศยานหรือเครื่องบิน เป็นยานพาหนะที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 2-2.5 ของโลก ซึ่งตั้งแต่ปี 1990-2019 ก่อนที่จะมีวิกฤติโรคระบาด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศยานมีปริมาณเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.3 ต่อปี แต่เมื่อเกิดโรคระบาด ที่เป็นเหตุให้การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก โดยเฉพาะภาคการบิน มีผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวเลขจากปี 2019 พบว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดมากกว่า 1 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ทว่าในปี 2020 ลดลงมาเหลือเพียง 600 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์โรคระบาดค่อย ๆ ดีขึ้น ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็กลับมาเพิ่มสูงขึ้นตามเดิม โดยในปี 2021 อยู่ที่ 720 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีการคาดการณ์ว่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ภาคการบิน จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินระดับที่ปล่อยสูงสุดเมื่อปี 2019 อีกในไม่ช้า
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ในปัจจุบัน ยานพาหนะอื่น ๆ ต่างก็มีการใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาดกันแล้ว ทว่าเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการเดินทางโดยอากาศยาน ยังไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไรนัก เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม จึงเริ่มมีการศึกษา วิจัย และพัฒนา เกี่ยวกับเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับอากาศยาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคธุรกิจการบินลง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว
รู้จักกับ SAF เชื้อเพลิงสะอาดสำหรับอากาศยาน
SAF ย่อมาจาก Sustainable Aviation Fuel หรือเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน เป็นเชื้อเพลิงที่ถูกผลิตขึ้นจากวัตถุดิบทดแทนอื่นที่ไม่ใช่ปิโตรเลียม กล่าวคือ เป็นวัตถุดิบที่สามารถสร้างใหม่ได้ หรือหมุนเวียนจากของเสียบางอย่างที่เป็นไปตามมาตรฐานความยั่งยืน ตามที่โครงการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization, ICAO) กำหนดไว้ คือ มีความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราที่กำหนดตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป ตั้งแต่กระบวนการผลิตวัตถุดิบ กระบวนการผลิตเชื้อเพลิง ตลอดจนการใช้เชื้อเพลิง
วัตถุดิบทดแทนที่นำมาใช้ผลิต SAF มีทั้งที่มาจากธรรมชาติและการสังเคราะห์จากกระบวนการทางเคมี หากเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ จะถูกนำมาผ่านกระบวนการเพื่อปรับโครงสร้างทางเคมี จนเกิดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างทางเคมีลักษณะเดียวกันกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากปิโตรเลียม โดย SAF จะสามารถนำมาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ และด้วยวัตถุดิบและเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ทำให้ SAF สามารถผลิตได้จากหลายกระบวนการ
SAF จึงเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมการบิน เนื่องจากเป็นวิธีที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมการบินได้มากถึงร้อยละ 80 ตลอดวงจรของเชื้อเพลิง เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ซึ่งการพัฒนาเชื้อเพลิงยั่งยืนเช่นนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อย่างมาก สำหรับอุตสาหกรรมการบินที่วางแผนจะก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050
บทบาทของ SAF ในอุตสาหกรรมการบินสีเขียว
เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนอุตสาหกรรมการบินไปสู่ความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงได้ เนื่องจากการบินเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมทางอากาศและการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้น บทบาทของ SAF ในอุตสาหกรรมการบินสีเขียว จึงมีดังนี้
SAF ผลิตได้จากวัตถุดิบที่สามารถสร้างใหม่ได้ในธรรมชาติ รวมถึงการนำของเสียต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่เป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ตรงข้ามกับ SAF ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และมีความสำคัญต่อภาคการขนส่งทางอากาศเป็นอย่างมาก
SAF ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยอาจเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างพลังงานชีวมวล น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว และขยะอินทรีย์ หรืออาจจะเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมีก็ได้ มีผลการศึกษาทางวิชาการที่แสดงให้เห็นว่า การใช้เชื้อเพลิง SAF ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรอบวงจรชีวิตได้ถึงร้อยละ 80 จากกระบวนการทั้งหมด เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงอากาศยานปิโตรเลียมแบบเดิม โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถือเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เนื่องจากธุรกิจการบินมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาล อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว ทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินได้ สืบเนื่องมาจากการแข่งขันกันของธุรกิจสายการบิน ทำให้ผู้โดยสารมีตัวเลือกในการเดินทางเพิ่มขึ้น ทั้งสายการบิน Low-Cost และ Full Service จึงมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 อุตสาหกรรมการบินจะขยายตัวเป็นสองเท่า ทำให้อาจมีผู้โดยสารมากกว่า 8 พันล้านคน นั่นหมายความว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบินก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
เพื่อที่จะลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากภาคการบิน จึงเกิดกฎข้อบังคับการบิน ที่จะช่วยจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เรียกว่า CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ขึ้น
CORSIA คือข้อบังคับขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2021 โดยกำหนดให้สายการบินต้องซื้อสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกินกว่าค่ามาตรฐานของเที่ยวบินระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจการบินประสบความสำเร็จในการลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนสำหรับการบินระหว่างประเทศ มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายใต้ข้อบังคับ CORSIA ทาง ICAO จะทำการตรวจสอบการปล่อยพลังงานของผู้ประกอบการธุรกิจการบินสากลที่เป็นสมาชิกของ ICAO ว่าจะต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด หากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าเกณฑ์ จะต้องชดเชยโดยเสียค่าคาร์บอนเครดิต
CORSIA จุดเริ่มต้นของการนำ SAF ไปสู่อุตสาหกรรมการบินสีเขียว
ด้วย CORSIA ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบินระหว่างประเทศ ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้การปล่อยคาร์บอนจากการบินระหว่างประเทศลดลง มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้ ICAO สนับสนุนให้มีการทดแทนเชื้อเพลิงอากาศยานที่เป็นปิโตรเลียม ด้วยการใช้ SAF ในสัดส่วนที่เหมาะสมภายในปี 2050 ในบางประเทศที่มีการศึกษาวิจัย ก็ได้นำ SAF มาใช้ในอุตสาหกรรมการบินอย่างจริงจังและเข้มงวดแล้ว โดยกำหนดให้ทุกเที่ยวบินที่เดินทางออกนอกประเทศ ต้องใช้เชื้อเพลิง SAF อย่างน้อยร้อยละ 1 ของเชื้อเพลิงอากาศยาน ก่อนที่จะปรับสัดส่วนเป็นร้อยละ 50 ภายในปี 2050
การที่ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิก ICAO ทำให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เองก็เริ่มใช้กลไกการชดเชยและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีการส่งข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผู้ดำเนินการเดินอากาศให้แก่ ICAO เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบในการควบคุมการปล่อยคาร์บอนจากการบิน
ด้วยข้อบังคับและกฏหมายเกี่ยวกับการบินระหว่างประเทศที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการใช้เชื้อเพลิงในภาคการบิน มีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ SAF หรือเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน กำลังจะกลายเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานพลังงานสะอาด ที่เป็นพลังงานหลักแทนที่เชื้อเพลิงปิโตรเลียม สำหรับการขนส่งระหว่างประเทศในอนาคต เราจึงมีโอกาสได้เห็นว่ายานพาหนะในภาคการขนส่งทั้งระบบ สามารถเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่เป็นพลังงานสะอาดได้ และมีความหวังว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกภาคส่วนกำลังทำอยู่ จะตอบโจทย์เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ในที่สุด
บทความประชาสัมพันธ์จาก : บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด www.apollothai.com
ติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID : @apollothailand
นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เฟส 6 700/623 หมู่ 4 ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี 20160